Translate

การเพาะพันธุ์ปลาทอง


การเพาะพันธุ์ปลาทอง

การเตรียมปลาเพื่อการเพาะพันธุ์
         1. ไม่ควรเลือกพ่อแม่พันธุ์ครอกเดียวกันมาทำการผสมพันธุ์ เพราะอาจได้ลุกปลาที่มีลักษณะด้อย โตช้า อ่อนแอหรือมีความผิดปกติ เนื่องจากการผสมปลาในครอกเดียวกัน เป็นการผสมเลือดชิด(Inbreeding)
          2. ควรเลือกพ่อแม่พันธุ์ที่ยังมีอายุไม่มากนัก (อายุไม่เกิน 2 ปี) เพราะปลารุ่นมีความปราดเปรียว วางไข่ได้ครั้งละมาก ๆ น้ำเชื้อมีความแข็งแรงสมบูรณ์ พ่อแม่พันธุ์ต้องอยู่ในสภาพพร้อมผสมพันธุ์ได้จริง
         3. เลือกพ่อแม่พันธุ์ที่มีลักษณะดี ไม่พิการ มีสีสันเข้ม เด่นชัด มีความแข็งแรงปราดเปรียว และมีขนาดใหญ่ปานกลางเป็นปลาที่เลี้ยงง่ายเติบโตเร็วการเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ปลาหลังจากที่มีการคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์
          4. ปลาจะผสมพันธุ์และวางไข่ได้เอง ตามธรรมชาติ ปลาทองที่จะนำมาเป็นพ่อแม่พันธุ์ควร
มีอายุประมาณ 5-6 เดือนขึ้นไป ถ้าอายุน้อยจะทำให้ลูกปลาที่ได้พิการเป็นส่วนมาก การเลี้ยงปลาทองเพื่อให้เป็นพ่อแม่พันธุ์สามารถเลี้ยงได้ทั้งในบ่อซีเมนต์ บ่อดิน ตู้กระจก อ่างปลา ฯลฯ ที่มีระดับความลึกพอประมาณ (20-40 เซนติเมตร) ถ้าพ่อแม่พันธุ์ปลามีขนาด 3-4 นิ้ว ปล่อยตารางเมตรละ 4-6 ตัวยกเว้นพ่อแม่ปลาทองบางพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติ จำเป็นต้องเลี้ยงในบ่อที่ใหญ่ขึ้นด้วย กรณีที่มีการเลี้ยงในบ่อที่มีการแยกของเสียและตะกอนออกไปตลอดเวลา ความหนาแน่นอาจเพิ่มเป็น 10 – 20 ตัว (ขนาด 3-4 นิ้ว) / 1 ตารางเมตร
                  5. ทำเลที่เหมาะสมในการสร้างบ่อพ่อแม่พันธุ์ปลาทอง คือ บริเวณที่ส่องแสงลงได้เพียง 40-60%  บ่อที่ได้รับแสงแดดที่พอเหมาะสมจะสามารถควบคุมการเจริญเติบโตของแพลงก์ตอนพืช ให้อยู่ในปริมาณที่พอดีทำให้น้ำในบ่อใสสะอาดอยู่เสมอ เหมาะกับความเป็นอยู่ของปลาและจะช่วยให้ปลามีสีสันสวยขึ้นด้วย น้ำที่ใช้เลี้ยงปลาทอง ควรเป็นน้ำที่สะอาด มีความเป็นกรด-ด่าง  6.8-7.5 มีปริมาณออกซิเจนละลายในน้ำไม่ต่ำกว่า 5 มิลลิกรัม/ลิตร ความกระด้าง 75-100 มิลลิกรัม/ลิตร และความเป็นด่าง 150-200 มิลลิกรัม/ลิตร ระดับความลึกของน้ำที่เหมาะสมคือ 30-40 เซนติเมตร การเลี้ยงปลาทองในบ่อที่มีระดับน้ำสูงเกินไปมักจะทำให้ปลาทองเสียการทรงตัวได้ง่าย โดยเฉพาะสายพันธุ์หัวสิงห์ ต้องมีการถ่ายเทน้ำบ่อยหรือทุก ๆ วัน โดยดูดน้ำเก่าทิ้งไป 25% ของน้ำทั้งหมดแล้ว เติมน้ำใหม่ลงไปให้มีปริมาณเท่าเดิม
ที่มา: Link:การเลี้ยงปลาทอง(February, 2010)


 - การเพาะพันธุ์โดยวิธีเลียนแบบธรรมชาติ   ใช้บ่อที่มีขนาดประมาณ  1  ตารางเมตร    ปล่อยพ่อแม่ปลา 4-6 ตัว/บ่อ   โดยนำพ่อแม่พันธุ์ที่มีความสมบูรณ์พร้อมผสมพันธุ์ที่คัดไว้เรียบร้อย   แล้วมาใส่ในบ่อเพาะ  ในอัตราส่วนตัวผู้   :  ตัวเมีย  เท่ากับ  1 : 1 หรือ  2 : 1  ขึ้นกับปริมาณน้ำเชื้อของตัวผู้และความสมบูรณ์เพศของแม่พันธุ์ปลา  ตัวผู้จะเริ่มไล่ปลาตัวเมียโดยใช้ปากดุนที่ท้องปลาตัวเมีย    เพื่อกระตุ้นให้วางไข่ ตัวเมียจะปล่อยไข่เป็นระยะๆ  ขณะเดียวกันตัวผู้จะปล่อยน้ำเชื้อผสมกับไข่    ไข่จะกระจายติดกับสาหร่าย  ผักตบชวา  หรือเชือกฟางที่เตรียมไว้ในบ่อ  แม่ปลาวางไข่ครั้งละ 500 - 5000  ฟอง  โดยปริมาณไข่จะขึ้นอยู่กับขนาดของแม่ปลาหลังจากแม่ปลาวางไข่แล้ว     ควรแยกพ่อแม่ปลาออกไปเลี้ยงในบ่ออื่น    โดยปกติแม่ปลาทองจะวางไข่มากในช่วง เดือน เม.ย.- ต.ค.
                -  การเพาะพันธุ์โดยวิธีผสมเทียม       การเพาะพันธุ์โดยวิธีนี้ทำให้อัตราการผสมไข่และน้ำเชื้อสูงมาก      มีอัตราการฟักไข่สูงกว่าการเพาะพันธุ์โดยวิธีเลียนแบบธรรมชาติแต่ขั้นตอนจะ ยุ่งยากมากกว่า  แม่พันธุ์ปลาทองที่พร้อมส่วนท้องจะนิ่มพร้อมที่จะวางไข่    ควรทำในตอนเช้ามืดใกล้สว่าง   ซึ่งเป็นเวลาที่ปลาชอบผสมพันธุ์กันเอง   โดยใช้ปลาตัวผู้ : ปลา     ตัวเมีย ในอัตราส่วน 1 : 1 หรือ 2 : 1 ตัว  เพื่อให้น้ำเชื้อของตัวผู้มีปริมาณเพียงพอกับ  จำนวนไข่ของปลาตัวเมีย    รีดไข่จากแม่ปลาลงกะละมังที่มีน้ำสะอาด แล้วรีดน้ำเชื้อจาก  ปลาตัวผู้  1 - 2 ตัว  ลงผสมพร้อมๆ กัน      ขั้น ตอนการรีดต้องรวดเร็วและนุ่มนวลเพราะปลาอาจเกิดการบอบช้ำและตายได้ถ้าปลา อยู่ในมือนาน  จากนั้นผสมไข่กับน้ำเชื้อให้เข้ากันเพื่อให้น้ำเชื้อของปลาตัวผู้ผสมกับไข่ ของปลาตัวเมียได้อย่างทั่วถึง   จากนั้นล้างไข่ด้วยน้ำสะอาด    1-2   ครั้ง เมื่อไข่ถูกน้ำจะดูดซึมน้ำเข้าภายในเซลล์ และมีสารเหนียว ๆ ทำให้ไข่ติดกับกะละมัง  นำกะละมังที่มีไข่ติดอยู่ ไปใส่ในบ่อฟักที่มีระดับน้ำลึกประมาณ  30 เซนติเมตร    โดยวางกะละมังให้จมน้ำ ให้ออกซิเจนเบา ๆ  เป็นจุด ๆ  ตลอดเวลาไข่ที่ได้รับการผสมจะฟักเป็นตัวภายใน   2 – 3 วัน   อุณหภูมิของน้ำภายในอ่างฟักไข่อยู่ในช่วง   27 - 28 องศาเซลเซียส
การอนุบาล
ในช่วงที่ลูกปลาฟักตัวออกมาระยะ 2-3 วันแรก  ยังไม่จำเป็นต้องให้อาหาร  เนื่องจากลูกปลามีถุงอาหาร (Yolk sac) ติดอยู่ หลังจาก 3 วันแล้วจึงเริ่มให้อาหาร โดยให้ลูกไรแดงขนาดเล็กที่ผ่านการกรองด้วยตาข่ายหรือจะให้ไข่แดงต้มสุกละลาย น้ำหยดให้ปลากินวันละ  3-4 ครั้ง  ถ้าปลากินเหลือควรดูดเศษอาหารออก  อัตราการเปลี่ยนน้ำแต่ละครั้งไม่ควรเกิน  20-25 %    ของปริมาณน้ำในบ่อ   2-3 วันหลังจากนั้นควรเปลี่ยนเป็นไรแดงขนาดใหญ่ขึ้น เมื่อลูกปลามีอายุ 15 วันจึงเริ่มให้อาหารสำเร็จรูปและอาหารสดที่มีขนาดใหญ่เสริม ควรคัดปลาที่พิการออกเป็นปลาเหยื่อและเลือกลูกปลาที่มีลักษณะที่ดีไว้ และคัดขนาดลูกปลาให้มีขนาดสม่ำเสมอกัน เพราะลูกปลาที่มีขนาดเล็กจะแย่งอาหารไม่ทันลูกปลาที่มีขนาดใหญ่กว่าจึงควร คัดออกเพื่อนำมาแยกเลี้ยงการอนุบาลลูกปลาที่มีขนาดเล็ก ไม่ควรเลี้ยงในน้ำที่มีระดับความลึกมาก    เพราะจะทำให้ปลามีรูปร่างไม่สวยงาม     ควรเลี้ยงในอัตราส่วน   100-250   ตัว / ตารางเมตร

การเลี้ยงปลาทอง

ปลาทอง เป็นปลาสวยงามอันดับต้น ๆ ที่ได้รับความนิยมเลี้ยงกันอย่างกว้างขวาง เพราะสวยงามและดูมีชีวิตชีวา แถมชื่อยังเป็นมงคลอีกด้วย นักเลี้ยงปลาทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่น จึงเลือกเลี้ยงเจ้าปลาชนิดนี้ไว้ดูเล่นกันเป็นจำนวนมาก

          แม้ว่าปลาทอง จะเป็นปลาสวยงามที่เลี้ยงไม่ยาก แต่หลายต่อหลายคนก็อกหักจากการเลี้ยงปลาทองมาแล้วไม่น้อย เนื่องจากปลาทองจัดเป็นปลาที่ตายได้ง่าย ๆ หากไม่รู้วิธีการเลี้ยงอย่างถูกต้อง และวันนี้เรามีคำแนะนำดี ๆ ในการเลี้ยงมาฝากกัน

          ก่อนอื่นมาทำความรู้จักปลาทองที่ได้รับความนิยมเลี้ยงในไทย แบ่งออกเป็น 2 สายพันธุ์คือ

          1.ปลาทองพันธุ์หัวสิงห์ มีลักษณะเด่นบริเวณหัว ที่จะมีก้อนเนื้อหุ้มอยู่คล้ายสวมหัวโขน

          2.ปลาทองพันธุ์ออรันดา ลำตัวค่อนข้างยาว ครีบหางอ่อนช้อยเป็นพวงสวยงาม

 ภาชนะที่ใช้เลี้ยง

          ในการเลี้ยงปลาทองให้สุขภาพแข็งแรง และมีสีสันสดใส จำเป็นต้องใส่ใจรายละเอียดตั้งแต่สถานที่เลี้ยง และภาชนะที่ใช้เลี้ยง โดยทั่วไปนิยมเลี้ยงในตู้กระจกใส และอ่างซีเมนต์ หากเลี้ยงในตู้กระจกควรเลือกขนาดที่มีความจุของน้ำอย่างน้อย 40 ลิตร ใช้เลี้ยงปลาทองได้ 12 ตัว แต่ถ้าเลี้ยงในอ่างซีเมนต์ ต้องคำนึงถึงแสงสว่าง ควรเป็นสถานที่ไม่อับแสง และแสงไม่จ้าจนเกินไป ทั้งนี้ ควรใช้ตาข่ายพรางแสง ประมาณ 60% ปิดปากบ่อ ส่วนสภาพของบ่อเลี้ยงควรสร้างให้ลาดเอียง เพื่อความสะดวกในการเปลี่ยนถ่ายน้ำ
 
 การให้อาหาร

          แนะนำว่าควรให้อาหารสำเร็จรูป วันละ 1-2 ครั้ง โดยการให้แต่ละครั้งไม่ควรมากจนเกินไป เพราะจะทำให้ปลาทองอ้วน และเสี่ยงตายได้ เนื่องจากปลาทองค่อนข้างกินจุ ดังนั้นอย่าตามใจปากปลาทอง ส่วนอาหารเสริมอย่างลูกน้ำและหนอนแดง สามารถให้เสริมได้โดยดูความอ้วนและความแข็งแรงของตัวปลา ลักษณะปลาที่ตัวใหญ่หรืออ้วน สังเกตได้จากบริเวณโคนหางจะใหญ่แข็งแรงและมีความสมดุลกับตัวปลา และเมื่อมองจากมุมด้านบนจะสังเกตเห็นความกว้างของลำตัวอ้วนหนาและบึกบึน ขณะที่สีบนตัวปลาจะต้องมีสีสดเข้ม

 คุณภาพของน้ำ

          น้ำเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด น้ำประปาที่ใช้เลี้ยงต้องระวังคลอรีน ควรเตรียมน้ำก่อนนำมาใช้เลี้ยงปลาทุกครั้ง โดยเปิดน้ำใส่ถังเปิดฝาวางตากแดดทิ้งไว้เพื่อให้คลอรีนระเหย หรืออาจติดตั้งเครื่องกรองน้ำใช้สารเคมีโซเดียมไธโอซัลเฟตละลายลงในน้ำ มีคุณสมบัติในการกำจัดคลอรีน แต่ควรดูสัดส่วนในการใช้ เพราะสารเคมีพวกนี้มีผลข้างเคียงต่อปลาหากใช้ไม่ถูกวิธี

 อากาศหรือออกซิเจนในน้ำ

          ปลาทองส่วนใหญ่เคยชินกับสภาพน้ำที่ต้องมีออกซินเจน ดังนั้น อย่างน้อยในภาชนะเลี้ยงต้องมีการหมุนเวียนเบา ๆ ไม่ว่าจะผ่านระบบกรองน้ำ น้ำพุ น้ำตก หรือปั๊มน้ำ เพราะการหมุนเวียนของน้ำ เป็นการทำให้เกิดการเติมออกซิเจน และปลาทองขนาดใหญ่ย่อมต้องการออกซิเจนมากกว่าปลาเล็ก ส่วนเรื่องอุณหภูมิของน้ำที่เหมาะสมคือ 28-35 องศาเซลเซียส แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการรักษาอุณหภูมิของน้ำไม่ให้เปลี่ยนแปลงขึ้น-ลงอย่างรวดเร็ว หากซื้อปลาบรรจุถุงมา เวลาจะปล่อยปลาลงในอ่างเลี้ยง ควรแช่ถุงลงในอ่างเลี้ยง 10-15 นาที เพื่อให้อุณหภูมิของน้ำในถุงกับในอ่างถ่ายเทเข้าหากันจนใกล้เคียงกัน แล้วค่อยปล่อยปลาลงไป

          การเลี้ยงปลาทอง ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่ใส่ใจกับภาชนะเลี้ยง สภาพน้ำ การให้อาหาร และหมั่นสังเกตเจ้าปลาตัวโปรดของคุณอย่างสม่ำเสมอ ก็จะได้ปลาทองสวย ๆ ไว้เชยชมไปนาน ๆ

ขอบคุณข้อมูลจาก http://pet.kapook.com/

จัดเตรียมอุปกรณ์ก่อนเลี้ยงปลาทอง


เมื่อครั้งที่แล้วผมได้เขียนบทความเรื่อง การเตรียมน้ำสำหรับเลี้ยงปลาทอง และวิธีการลงปลาทองที่ซื้อมาเลี้ยงใหม่ เหมือนว่าจะยังขาดอะไรไปบางอย่าง แล้วก็มีเพื่อนๆ ที่ติดตาม ปลาสวยงาม บ้านโป่ง ราชบุรี ถามและแนะนำเข้ามาจริงๆ นั่นคือจากจัดตู้ปลาเพื่อเลี้ยงปลาทองควรที่จะจัดอย่างไร ครั้งนี้ผมก็เลยขอเขียนเรื่องเบื้องต้นการจัดตู้ปลาสำหรับเลี้ยงปลาทอง หรือจะเลี้ยงปลาสวยงามอื่นๆ ก็ได้ให้เพื่อนๆ ได้ติดตามอ่านกันครับ

เริ่มต้นจากการจัดเตรียมตู้ปลาทอง
สำหรับตู้ปลาที่มีขายอยู่ทั่วไปตามร้านขายอุปกรณ์ปลาสวยงาม จะมีให้เลือกหลายแบบหลายขนาด ทั้งราคาถูกและราคาแพง ทั้งแบบที่เป็นกระจกและแบบอะคริลิค ตู้กระจกจะมีข้อดีตรงที่ไม่เป็นรอยขีดข่วนง่ายเวลาทำความสะอาด แต่มีข้อเสียตรงที่มีน้ำหนักมาก เคลื่อนย้ายลำบาก และมีรอยต่อตรงมุมตู้ ส่วนตู้อะคริลิคจะมีข้อดีตรงที่มีความใสมากกว่าแผ่นกระจก ไม่มีรอยต่อตรงมุมตู้น้ำหนักเบา มีความยืดหยุ่น แต่มีข้อเสียที่ราคาแพง เกิดรอยขีดข่วนง่าย และถ้าเป็นอะคริลิกคุณภาพต่ำเมื่อใช้ไปนานๆ  จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองชา เราต้องเลือกขนาดให้เหมาะสมกับจำนวนปลาทองที่เราจะเลี้ยงด้วย
อุปกรณ์อีกอย่างที่เราควรจะหาเตรียมมาพร้อมกันด้วยก็คือ ฝาครอบตู้ปลาและหลอดไฟที่ให้แสงสว่าง หลอดไฟที่ให้แสงสว่างในตู้ปลาที่นิยมกันมากจะเป็นหลอดแบบฟลูออเรสเซนท์ ซึ่งจะมีหลายขนาด ทั้งความยาวของหลอดและกำลังไฟ นอกจากนั้นก็ยังมีหลอดแบบเมตัล เฮไลด์ หลอดฮาโลเจน ( Halogen Lamp) หลอดเมอร์คิวรี่ แวเปอร์ ( Mercury vapour ) ซึ่งหลอดไฟทั้งหมดที่กล่าวมา จะทำหน้าที่หลักในการช่วยต้นไม้น้ำในการสังเคราะห์แสง และทำให้อุณหภูมิของน้ำในตู้ปลาไม่เย็นมากเกินไปด้วย
ต่อไปก็จะต้องหาระบบกรอง สำหรับระบบกรองของตู้ปลาสวยงามก็มีหลายแบบอีกเช่นกัน เลือกให้เหมาะสมกับตู้ที่เราซื้อมา โดยจะแบ่งออกเป็นสองชนิดหลักๆ คือแบบกรองในตู้ และแบบกรองนอกตู้ โดยระบบกรองที่จะใช้ควรมีความเหมาะสมกับขนาดของตู้ปลาด้วย นั่นคือต้องไม่ใหญ่และเล็กเกินไป
เมื่อเราได้อุปกรณ์ทั้งหมดมาแล้ว ก็เริ่มต้นจากตู้ปลาจะต้องล้างทำความสะอาดแล้วใส่น้ำแช่ทิ้งไว้ 2-3 วัน ระหว่างที่แช่น้ำไว้ควรตรวจสอบดูว่ามีการรั่วซึมที่ใดบ้างหรือเปล่า ถ้ามีก็จัดการเปลี่ยนกับทางร้านที่ซื้อมา หรือว่าทำการซ่อมแซมให้เรียบร้อยเสียก่อน หลังจากนั้นถ่ายน้ำที่แช่ไว้ออกให้หมด เช็ดให้แห้งแล้วนำไปวางเข้าที่ที่เตรียมเอาไว้ การเคลื่อนย้ายตู้ปลาควรใช้มือช้อนเข้าไปก้นตู้แล้วยก อย่าจับขอบด้านบนแล้วยกเป็นอันขาด เพราะจะทำให้แผ่นกระจกด้านข้างโย้ไปมาจนกาวยึดรอยต่อเกิดการรั่วซึมหรือฉีกขาดขึ้นมาได้

ของตกแต่งภายในตู้ปลา
วัสดุตกแต่งอื่นๆ เพื่อให้ตู้ปลาทองของเราดูสวยงาม และเป็นธรรมชาติที่สุด โดยวัสดุเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็ประกอบด้วย ต้นไม้น้ำ ขอนไม้ หิน กรวด ทราย และอื่นๆ ที่เราเห็นว่าเหมาะสมและสวยงามสำหรับตู้ปลาทองของเรา
อุปกรณ์สำหรับตกแต่งตู้เลี้ยงปลาทอง เราต้องเลือกวัสดุที่ไม่มีเหลี่ยมคมไม่ว่าจะเป็นก้อนหิน หรือขอนไม้ และที่ไม่ควรใช้อย่างยิ่งคือ ปะการัง ซึ่งมีแง่แหลมคมมากมายเป็นอันตรายอย่างมากต่อปลาทอง อุปกรณ์ตกแต่งทุกชิ้นจะต้องผ่านการล้างทำความสะอาดเสียก่อนจึงค่อยนำไปใช้
วิธีกำจัดสารคลอรีนในน้ำประปา
การกำจัดสารคลอรีนในน้ำประปาสามารถทำได้หลายวิธี เช่น เอาน้ำประปาไปพักไว้ในภาชนะสำหรับกักเก็บน้ำ เช่น ตุ่ม ถัง หรือแม้แต่ตู้ที่จะเลี้ยง ปลาเป็นเวลาประมาณ 1-2 วัน เพื่อให้คลอรีนระเหยไปจนหมด ระหว่างการพักน้ำหากเป่าอากาศลงไปด้วยก็จะช่วงเร่งคลอรีนให้ระเหยเร็วยิ่งขึ้น
วิธีกำจัดคลอรีนออกจากน้ำประปาที่สะดวกที่สุดก็คือ เปิดน้ำประปาผ่านเข้าไปในเครื่องกรองน้ำแล้วเอาน้ำที่ออกมาไปใช้เลี้ยงปลาได้เลย เนื่องจากเครื่องกรองน้ำมีผงถ่านคาร์บอน (Activated carbon) ซึ่งมีคุณสมบัติในการดูดซับคลอรีน สี และ กลิ่นต่างๆ ที่ละลายอยู่ในน้ำ ทำให้น้ำที่ออกมาใสสะอาดปราศจากสีและกลิ่น
การกำจัดคลอรีนออกจากน้ำประปาอีกวิธีหนึ่งคือ การใช้สารกำจัดคลอรีน สารที่มีว่านี้มีชื่อทางเคมีว่า "โซเดียมไธโอซัลเฟต" (soudiumthio-sulfate) มีขายอยู่ทั่วไปตามร้านขายอุปกรณ์ปลาสวยงาม การใช้สารกำจัดคลอรีนต้องทำตามคำแนะนำในฉลากข้างภาชนะบรรจุโดยเคร่งครัด ถ้าใช้มากเกินไปตัวสารกำจัดคลอรีนเองจะกลับมาเป็นอันตรายต่อปลาทองที่ปล่อยลงไปเลี้ยงได้

หลักเบื้องต้นในการจัดตู้เลี้ยงปลาทอง
จัดหาที่วางตู้ปลาทองให้เรียบร้อย โดยพื้นที่จะวางควรมีพื้นที่ราบเรียบเมื่อวางตู้ปลาแล้วไม่โยกคลอน ซึ่งอาจจะส่งผลทำให้ตู้ปลาแตกร้าวเสียหายได้ มุมที่จัดวางก็ควรจะมีอากาศถ่ายเทได้สะดวก ไม่ร้อนจนเกินไป และควรอยู่ในมุมที่สงบไม่มีใครไปรบกวน แต่ก็ควรอยู่ในมุมที่เรามองเห็นปลาทองได้อย่างชัดเจน สำหรับภาพวิวด้านหลังหากคุณต้องการติดก็ควรติดให้เรียบร้อยตั้งแต่ขั้นตอนนี้ แต่หากตู้ปลาไม่ได้วางติดหรือชิดผนังก็อาจจะติดภายหลังก็ได้
ในกรณีที่คุณใช้แผ่นกรองใต้พื้นทราย จะต้องทำความสะอาดแผ่นกรองเสียก่อน เนื่องจากแผ่นกรองทำด้วยพลาสติกที่ใช้สารเคมีในขบวนการผลิต ถ้าไม่ล้างออกให้หมดอาจเป็นอันตรายต่อปลาทอง
จากนั้นนำแผ่นกรองประกอบเข้ากับท่อระบายอากาศ ต่อสายยางจากปั้มลมเข้ากับท่อลมข้างท่อระบายอากาศ แล้วเอาแผ่นกรองวางแนบกับพื้นตู้ให้เรียบร้อย ก่อนที่จะเททรายกรวดหินลงไปตามลำดับ สำหรับการใช้กรองใต้พื้นทราย อย่าใช้ทรายที่มีความละเอียดมากจนเกินไป เพราะทรายจะอัดตัวแน่นซึ่งจะทำให้รากของต้นไม้น้ำชอนไชได้ยาก
วัสดุที่ใช้ปูพื้นตู้ปลาทองโดยมาก นิยมใช้ทรายหยาบหรือกรวดขนาดเล็ก ไม่ควรใช้ทรายละเอียด เพราะจะทำให้ประสิทธิภาพของระบบการกรองลดลง เพราะตกตะกอนและเศษของเสียยังตกค้างอยู่บนพื้นผิวทราย เป็นสาเหตุให้น้ำขุ่น สำหรับปลาทองซึ่งเป็นปลาที่ชอบคุ้ยหาอาหารที่พื้น จึงควรใช้กรวดขนาดใหญ่ขึ้นมาหน่อย หรือขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 มิลลิเมตร และควรเลือกกรวดที่ไม่มีเหลี่ยมแหลมคมและปราศจากเศษเปลือกหอย ป้องกันปลาทองบาดเจ็บเมื่อว่ายไปชน
ก่อนนำกรวดมาใช้ปูพื้นตู้ปลา จะต้องล้างให้สะอาดจนหมดเศษดินแล้วแช่น้ำทิ้งไว้ 2-3 วันเพื่อกำจัดความเค็มที่อาจติดมากับกรวด ถ้าจะให้ดีก็ควรเอากรวดมาลวกน้ำร้อนในถังแช่ทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที เพื่อให้น้ำร้อนแทรกซึมเม็ดกรวดได้ทั่วถึง แล้วจึงนำมาล้างน้ำเย็นให้สะอาดก่อนนำไปใช้
นำกรวดที่ล้างสะอาดแล้วไปเทใส่ตู้ กลบทับแผ่นกรองให้มิดและหนาอย่างน้อย 3 นิ้ว ที่นิยมกันมากจะปูพื้นให้ระดับกรวดด้านหลังตู้สูงกว่าด้านหน้า พื้นกรวดที่มีลักษณะเอียงลาดแบบนี้เมื่อเลี้ยงปลาทองนานไป กรวดที่อยู่ระดับสูงจะเลื่อนไหลลงมาอยู่ที่ระดับเดียวกันเป็นพื้นราบ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาควรหาอะไรมากั้นดักเอาไว้เป็นช่วงๆ และควรให้พื้นทรายด้านหลังตู้อยู่สูงกว่าด้านหน้าเสมอ เพื่อจะได้สะดวกในการดูดตะกอนทำความสะอาดตู้ปลาทอง
จัดการปรับแต่งองค์ประกอบต่างๆ ภายในตู้ปลาทอง ตามแบบที่คุณต้องการ แนะนำว่าการปลูกต้นไม้ควรจะปลูกด้านหลัง หรือด้านข้างของตู้ปลา และควรเปิดพื้นที่ด้านหน้าและกลางตู้เอาไว้ เพื่อให้ปลาทองได้ว่ายน้ำอย่างสะดวก การจัดวางต้นไม้น้ำจะเน้นให้ต้นไม้ที่สูงกว่าอยู่ด้านหลัง เพื่อไม่ให้มาบังการมองเห็นปลาทอง และอีกประการคือจะช่วยปิดสายท่อของเครื่องกรองต่างๆ เมื่อจัดการปลูกต้นไม้เรียบร้อย ก็ให้นำวัสดุตกแต่งที่คุณต้องการใส่มาจัดวางให้เรียบร้อย
การเติมน้ำลงไปในตู้ปลา
ก่อนจะเติมน้ำลงไปในตู้ปลา ข้อควรระวังคืออย่าเทน้ำลงไปในตู้ปลาตรงๆ ควรหาภาชนะรองรับเช่น ผ้าพลาสติกอ่อนคลุ่มพื้นตู้หรือเอาจานชามแบนๆ ไปวางไว้ก้นตู้ เพื่อลดความแรงของน้ำกันไม่ให้กรวดกระจาย ถ้าหาไม่ได้ก็ใช้มือของเรารองรับน้ำเอาไว้ผยุงให้ความแรงน้อยลง การเติมน้ำเข้าตู้ปลาในครั้งแรกเราจะเติมเพียงครึ่งตู้ เพื่อความสะดวกในการจัดตบแต่งตู้ปลา การเติมน้ำในครั้งแรกจะเห็นว่ามีตะกอนหรือคราบสกปรกจากทรายหรือหิน ควรถ่ายทิ้งแล้วเติมน้ำใหม่ลงไป ถ้าต้องการจะตกแต่งด้วยพรรณไม้น้ำก็ให้ทำในขั้นตอนนี้ แต่ควรทราบไว้อย่างหนึ่งว่า ปลาทองส่วนใหญ่ชอบกัดทำลายพืชน้ำเพราะเป็นสัตว์กินพืช หากต้องการให้ภูมิทัศน์ในตู้ปลาทองมีสีสันของพรรณไม้น้ำขอแนะนำว่าควรใช้ต้นไม้น้ำประดิษฐ์แทน หลังจากตกแต่งด้วยพรรณไม้น้ำแล้วหากน้ำยังขุ่นอยู่มากก็ถ่ายออกแล้วเติมน้ำใหม่ลงไป

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยก็ให้คุณต่อสายยางเข้ากับปั๊มลม เปิดเครื่องปั๊มลมเพื่อเติมออกซิเจนให้กับน้ำ และให้ระบบการกรองเริ่มทำงานทันที โดยปั๊มลมอาจจะวางไว้ด้านนอกตู้หรือวางไว้ในฝาครอบไฟชนิดที่มีแผงกั้นน้ำ ที่สำคัญปั๊มลมจะต้องวางให้สูงกว่าระดับน้ำในตู้ เพื่อกันน้ำไหลย้อนเข้าเครื่องในกรณีไฟดับ แต่หากคุณใช้เครื่องครองแบบนอกตู้ปลา เครื่องจะต้องอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำในตู้ แต่ก็อย่าวางต่ำมากจนเกินกำลังของเครื่องที่จะดันน้ำกลับเข้าตู้ปลา เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วก็เปิดเครื่องได้เลย

การเตรียมตู้ปลาเบื้องต้นนี้เราควรเตรียมให้เรียบร้อย ก่อนที่จะมาการนำปลาทองลงมาปล่อย โดยเตรียมตู้ปลาและเปิดระบบกรองน้ำให้ทำงานจนน้ำในตู้สะอาดเต็มที่


ของคุณข้อมูลจาก http://www.banpongfishfarm.com/



สายพันธุ์ ปลาทอง


สายพันธุ์ ปลาทอง 


1. พันธุ์โคเมท (Comet)   เป็นปลาทองสายพันธุ์ดั้งเดิม   หรือต้นตระกูลของปลาทอง   ลักษณะลำตัวค่อนข้างแบนยาวคล้ายปลาไน   ลำตัวมักมีสีแดง   สีแดงสลับขาว   หรือสีทอง   ปัจจุบันไม่ได้รับความนิยม


2. พันธุ์ชูบุงกิง (Shubunkin)    ลักษณะคล้ายพันธุ์โคเมท   แต่จะมีจุดประที่ลำตัวหลายสี   เช่น  สีแดง  สีขาว  สีม่วง  สีส้ม  และสีดำ   เกล็ดค่อนข้างใส   จัดเป็นปลาทองที่สวยงามมากชนิดหนึ่ง  ได้รับความนิยมมากในสมัยก่อนและมีการตั้งชื่อไว้หลายชื่อ  เช่น   Speckled  Goldfish ,  Harlequin  Goldfish ,  Vermilion  Goldfish  หรือ  Coronation  fish



3.  ปลาทองที่มีหางคู่   คือมีส่วนหางแยกออกเป็น  3 - 4  แฉก   มีทั้งที่มีครีบหลังตามปกติ   หรือบางชนิดไม่มีครีบหลัง   มีที่ได้รับความนิยมหลายสายพันธุ์ 


4. พันธุ์ออรันดา (Oranda) สมัยก่อนมักเรียกฮอลันดาหรือฮอลันดาหัวแดง  ลักษณะลำตัวค่อนข้างยาว  มีครีบครบทุกครีบ  หางยาว  และมีลักษณะเด่นคือมีวุ้นที่ส่วนหัว (Hood) คล้ายพันธุ์หัวสิงห์  แต่มักไม่ขยายใหญ่เท่าหัวสิงห์  สีของวุ้นมักออกเป็นสีเหลืองส้ม  เป็นปลาทองที่มีขนาดใหญ่ และมีความสวยงามมากชนิดหนึ่ง  สีของลำตัวมักออกสีขาวเงิน ชาวญี่ปุ่นเรียก Oranda  Shishigashira

5. พันธุ์ริวกิ้น (Ryukin  or  Veittail )   ลักษณะเด่น  คือ   เป็นพันธุ์ที่มีหางค่อนข้างยาวเป็นพวงสวยงามเป็นพิเศษ   คล้ายริบบิ้นหรือผ้าแพร   ทำให้มีชื่อเรียกได้หลายชื่อ  คือ  Fringetail ,  Ribbontail ,  Lacetail ,   Muslintail  และ  Japanese  Fantail   ในขณะที่ว่ายน้ำครีบหางจะบานเป็นสง่า   ลำตัวค่อนข้างกลมสั้น   และมักมีสีแดงสลับขาว  บางชนิดอาจมี 5 สี  เป็นพันธุ์ที่ได้รับความนิยมค่อนข้างมาก    


6. พันธุ์ตาโปน (Telescope-eyes  Goldfish)   อาจเรียก  Pop-eyes  Goldfish   ชาวจีนนิยมเรียก  Dragon  Eyes   ชาวญี่ปุ่นเรียก  Aka  Demekin   ซึ่งแปลว่าตาโปนเช่นกัน   ลักษณะเด่นของพันธุ์  คือ  ลูกตาจะยื่นโปนออกมามากเหมือนท่อกล้องส่องทางไกล   พันธุ์ตาโปนที่นิยมเลี้ยงมี  5  ชนิด  คือ


7. พันธุ์ตาโปนสีแดง (Red  Telescope-eyes  Goldfish)   มีสีแดงตลอดตัว   ได้รับความนิยมมากในญี่ปุ่น


8. พันธุ์มัว (Moor)   หรือเล่ห์ (Black  Moor  or  Black  Telescope-eye  Goldfish)   เป็นพันธุ์ที่รู้จักดีในประเทศไทยในชื่อ เล่ห์ หรือ ลักเล่ห์  ลักษณะเด่น  คือ  ลำตัวมีสีดำสนิทตลอด  ตาจะไม่โปนมากนัก  ชาวญี่ปุ่นเรียกพันธุ์นี้ว่า  Kuro  Demekin

9.พันธุ์ตาโปนสามสี (Calico  Telescope-eyes  Goldfish)   รู้จักกันดีในประเทศไทยว่าลักเล่ห์ห้าสี   เป็นพันธุ์ที่มีเกล็ดค่อนข้างบาง   ลำตัวมีสีสันหลายสีสดเข้มและมักมีเพียง  3  สี   แต่สีที่พบในพันธุ์นี้จะมี  5  สี  คือ  สีแดง  สีขาว  สีดำ  สีน้ำตาลออกเหลือง  และสีแดงออกม่วง   ชาวญี่ปุ่นเรียกพันธุ์นี้ว่า  Sanshoku  Demekin

10. พันธุ์ตาลูกโป่ง (Bubble  Eye  Goldfish)   ลักษณะเด่น  คือ  มีเบ้าตาพองออกคล้ายลูกโป่งทั้งสองข้าง   เวลาว่ายน้ำมักจะแกว่งไปมา   ลำตัวมักมีสีขาวหรือเหลืองแกมส้ม   มีทั้งที่มีครีบหลังและไม่มีครีบหลัง

11. พันธุ์ตากลับ (Celestial  Goldfish)   ลักษณะเด่น  คือ  ตาที่โปนออกมาจะหงายกลับขึ้นข้างบน   ชาวจีนเรียกว่า   Shotengan   แปลว่าตามุ่งสวรรค์   หรือตาดูฟ้า   ต่อมาชาวญี่ปุ่นนำไปเลี้ยงและพัฒนาได้หางสั้นกว่าเดิม   เรียก  Demeranchu

12. พันธุ์เกล็ดแก้ว (Pearl  Scale  Goldfish)   ลักษณะลำตัวค่อนข้างกลมคล้ายลูกปิงปอง   ส่วนหัวเล็กมาก  หางยาว   ลักษณะเด่น คือ  มีเกล็ดนูนขึ้นมาต่างกับเกล็ดธรรมดาทั่วไปอย่างชัดเจน   สีของลำตัวมักมีสีขาว  สีส้ม   และสีทอง 


13.สิงห์ญี่ปุ่น   เป็นพันธุ์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด   ลักษณะทั่วไปคือ  ลำตัวค่อนข้างสั้นและส่วนหลังโค้งมนสวยงาม   สีของลำตัวเป็นสีส้มเข้มเหลือบทองต้องตา   วุ้นที่ส่วนหัวมีลักษณะเล็กละเอียดขนาดไล่เลี่ยกันและค่อนข้างหนา   ครีบหางสั้นและจะยกสูงขึ้นเกือบตั้งฉากกับลำตัว   ครีบก้นเป็นครีบคู่มีขนาดเท่ากัน


14. พันธุ์หัวสิงห์ (Lionhead  Goldfish  or  Ranchu)   ลักษณะเด่นของพันธุ์นี้คือ   ไม่มีครีบหลัง   หางสั้นและเป็นครีบคู่   ที่สำคัญคือ  ส่วนหัวจะมีก้อนวุ้นปกคลุมอยู่   ทำให้มีชื่อเรียกได้อีกหลายชื่อ   เช่น  Hooded  Goldfish ,  Buffalo-head  Goldfish   ส่วนในญี่ปุ่นเรียก  Ranchu   ในประเทศไทยเรียกกันโดยทั่วไปว่า “หัวสิงห์”   เป็นพันธุ์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน   และนิยมจัดประกวดกันเป็นประจำ   จนอาจเรียกได้ว่าเป็นเจ้าพ่อของปลาทอง (King  of  The  Goldfish)   มีอยู่หลายชนิดที่นิยมเลี้ยง  ได้แก่


15.สิงห์จีน   เป็นพันธุ์ต้นตระกูลของหัวสิงห์   กำเนิดในจีน   ลำตัวค่อนข้างยาว   ส่วนหลังไม่โค้งมากนัก   หางค่อนข้างยาวอ่อนลู่   หัวค่อนข้างใหญ่และมีวุ้นดกหนากว่าสายพันธุ์อื่น   และทางด้านท้ายของวุ้นไม่ขรุขระ   ทำให้มองเหมือนหัวมีขนาดใหญ่กว่าลำตัว   สีของลำตัวเป็นสีส้มแกมทองแต่ไม่สดมากนัก


16. สิงห์ตามิด สิงห์สยาม   ลักษณะทั่วไปคล้ายสิงห์ญี่ปุ่น   แต่สีของลำตัวเป็นสีดำสนิทตลอดลำตัว   แม้กระทั่งวุ้นก็เป็นสีดำ   วุ้นค่อนข้างดกหนาจนปิดลูกตาแทบมองไม่เห็น 


ปลาทองที่นิยมเลี้ยงในไทย




ปลาทองหัวสิงห์จีน (Chinese lionhead)

                จีนเป็นประเทศแรกที่เพาะพันธุ์ปลาทองสายพันธุ์นี้ ชาวตะวันตกเรียกปลาทอง สายพันธุ์นี้ว่า Lionhead ในประเทศไทยเรียกว่า ปลาทองหัวสิงห์จีน (Chinese lionhead)  ลักษณะเด่นของปลาทองสายพันธุ์นี้คือ มีส่วนหัวใหญ่กว่าลำตัว ส่วนหัวมีวุ้นขึ้นหนาแน่นกว่าปลาทองหัวสิงห์สายพันธุ์อื่นๆ  ส่วนหลังของปลาลาดโค้งเล็กน้อย แนวสันหลังไม่มีครีบหลังจะมีลำตัวยาวกว่าปลาทองหัวสิงห์ไม่มีครีบหลังจะมีลำตัวยาวกว่าปลาทองหัวสิงห์สายพันธุ์อื่นๆ ครีบหางใหญ่และปลายหางลาดเสมอแนวเดียวกับสันหลัง เมื่อโตเต็มที่มีขนาดเฉลี่ยประมาณ 15 เซนติเมตร แต่ก็เคยพบบางตัวมีขนาดใหญ่ถึง 25 เซนติเมตร อายุเฉลี่ยประมาณ 5-7 ปี

ปลาทองหัวสิงห์ญี่ปุ่น (Ranchu)

                ปลาทองหัวสิงห์ญี่ปุ่นเป็นปลาทองหัวสิงห์ที่ได้รับความนิยมแพร่หลายมากที่สุด เนื่องจากมีรูปร่างสวยงามและมีสีเข้มสดใส เป็นปลาที่ชาวญี่ปุ่นผสมคัดพันธุ์มาจากปลาทองหัวสิงห์จีนลักษณะเด่นของปลาหัวสิงห์ญี่ปุ่น คือ มีลำตัวสั้นและโค้งมนมากกว่าปลาทองหัวสิงห์จีน ส่วนหัวมีวุ้นที่มีเนื้อละเอียด สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ส่วน คือ ส่วนบนหัว บริเวณกระพุ้งแก้มและบริเวณ
เหนือริมฝีปากสันหลังใหญ่หนาตั้งแต่โคนหัวจรดถึงปลายทาง ครีบหางต่อกับลำตัวเป็นมุมแหลมและข้อต่อหางโค้งต่ำเล็กน้อย ครีบทวารมีทั้งครีบเดี่ยวและครีบคู่

ปลาทองหัวสิงห์ลูกผสม (Hybrid lionhead, Ranchu x Chinese lionhead)

                ปลาทองสายพันธุ์นี้เป็นลูกผสมที่เพาะพันธุ์ในประเทศไทยซึ่งนำเอาจุดเด่นของปลาทองหัวสิงห์จีนและสิงห์ญี่ปุ่นมารวมกันไว้ในปลาตัวเดียวกัน สาเหตุของการผสมข้ามพันธุ์เนื่องจากปลาทองหัวสิงห์ญี่ปุ่นจะผสมพันธุ์ได้ค่อนข้างยาก ดังนั้นการนำปลาทองหัวสิงห์จีนมาผสมด้วยจะช่วยให้ปลาแพร่พันธุ์ได้ง่ายและได้จำนวนลูกปลาเพิ่มมากขึ้น  ลักษณะเด่นของปลาทองหัวสิงห์ลูกผสมคือ วุ้นบนหัวของปลาจะมีขนาดปานกลาง ไม่ใหญ่ และหนาเท่าปลาทองหัวสิงห์จีนแต่ไม่โค้งและสั้นเท่าปลาทองหัวสิงห์ญี่ปุ่น ครีบหางสั้นกว่าปลาทองหัวสิงห์จีนแต่จะยาวกว่าปลาทองหัวสิงห์ญี่ปุ่น

ปลาทองหัวสิงห์สยาม (Siamese lionhead)

                ปลาทองหัวสิงห์สยามหรือที่เรียก หัวสิงห์ตามิดดำ เป็นปลาทองลูกผสมที่มีต้นกำเนิดในประเทศไทย ที่มีลักษณะแบบหัวสิงห์จีนหรือหัวสิงห์ญี่ปุ่น ปกคลุมบริเวณหัวหนาแน่นจนมองไม่เห็นตา ลักษณะลำตัวคล้ายหัวสิงห์ญี่ปุ่น  ลักษณะเด่น ของปลาทองสายพันธุ์นี้ คือลำตัวและครีบต้องมีสีดำสนิท ไม่มีสีอื่นแซม

ปลาทองหัวสิงห์ตากลับ  (Celestial goldfish)

                ปลาทองพันธุ์หัวสิงห์ตากลับ เป็นปลาทองที่มีต้นกำเนิดอยู่ในประเทศจีน ชาวจีนเรียกว่า โชเตนกัน (Chotengan) ซึ่งมีความหมายว่า ปลาตาดูฟ้าดูดาว หรือตามุ่งสวรรค์ ญี่ปุ่นเรียกชื่อปลาชนิดนี้ว่า เดเมรันชู (Demeranchu)  ลักษณะเด่นของปลาชนิดนี้คือมีตาหงายกลับขึ้นข้างบน ผิดจากปลาทองชนิดอื่น ๆ ตาใหญ่สดใสทั้งสองข้าง ส่วนหัวไม่มีวุ้น  หรือมีเคลือบเพียงเล็กน้อย ไม่มีครีบหลัง ลำตัวยาว หลังตรงหรือโค้งลาดเล็กน้อย ครีบหางยาว

ปลาทองสิงห์ตาลูกโป่ง (Bubble eyes goldfish)

                ปลาทองพันธุ์นี้มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอยู่ในประเทศจีน ลักษณะเด่นคือ ที่เบ้าตาของปลาทองชนิดนี้มีถุงน้ำขนาดใหญ่ดูคล้ายมีลูกโป่งติดอยู่ที่บริเวณใต้ตาซึ่งเป็นที่มาของชื่อ "สิงห์ตาลูกโป่ง" ญี่ปุ่นเรียกว่า ซุอีโฮกัน (Suihogan) ถุงน้ำใต้ตา ปกติจะโปร่งแสงและมีขนาดเสมอกัน ปลาทองพันธุ์นี้ที่ส่วนหัวจะไม่มีวุ้น หรือมีเคลือบบ้างเพียงเล็กน้อย ไม่มีครีบหลัง ครีบหางยาว

ปลาทองออรันดาหัววุ้น (Dutch lionhead)

                ปลาทองสายพันธุ์นี้ญี่ปุ่นเป็นผู้เพาะพันธุ์ขึ้นสำเร็จ และเรียกชื่อว่า "ออรันดาชิชิกาชิระ" (Orandashishigashira) ซึ่งแปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า Dutch lionhead  ลักษณะเด่นคือ บริเวณหัวด้านบนมีวุ้นมาก มองจากด้านบนเห็นเป็นก้อนกลมหรือเหลี่ยมคล้ายปลาสวมหมวกไว้บนหัว โดยปกติวุ้นมีลักษณะละเอียดกว่าวุ้นของปลาทองหัวสิงห์ ครีบและครีบหางมีลักษณะแผ่กว้างและไม่สั้นจนเกินไป สำหรับปลาทองออรันดาสายพันธุ์ที่นิยมเลี้ยงในบ้านเรานอกจากออรันดาหัววุ้นแล้ว ยังมีออรันดาหัวแดง ซึ่งภาษาอังกฤษเรียก Redcap oranda  ภาษาญี่ปุ่นเรียก ตันโจ มีลักษณะลำตัวมีสีขาวเงิน วุ้นบนหัวเป็นก้อนกลมสีแดง คล้ายปลาสวมหมวกสีแดง ออรันดาห้าสี ลักษณะเหมือนออรันดาหัววุ้นทั่วไป แต่สีที่ลำตัวมี 5 สี คือ ฟ้า ดำ แดง ขาว ส้ม และ อีกชนิดหนึ่งคือ ออรันดาหางพวง ซึ่งชนิดนี้ครีบหางจะยาวเป็นพวง ครีบหลังพริ้วยาว ที่หัวมีวุ้นน้อยหรือไม่มีเลย

ปลาทองริวกิ้น (Ryukin)

                ปลาทองพันธุ์ริวกิ้น (Ryukin) มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Veiltail goldfish เป็นปลาที่นิยมเลี้ยงกันแพร่หลายทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นเนื่องจากเป็นปลาที่มีรูปร่างและสีสันสวยงามมีท่วงท่าการว่ายน้ำที่สง่างาม  ลักษณะเด่นของปลาทองริวกิ้นคือ  ลำตัว ด้านข้างกว้างและสั้น ส่วนท้องอ้วนกลม มองจากด้านหน้าโหนกหลังสูงเท่ากับส่วนโค้งของคอ ลักษณะปลาที่ดีส่วนหัวจะต้องเล็ก เกล็ดหนา ขึ้นเรียงเป็นระเบียบ สีที่พบมีทั้งสีแดง ขาว-แดง และส้ม หรือมีห้าสีคือ แดง ส้ม ดำ ขาว ฟ้า ซึ่งในบ้านเรานิยมเรียกกันว่า  ริวกิ้นห้าสี

ปลาทองตาโปน (Telescope eyes goldfish)

                ปลาทองตาโปนนี้ญี่ปุ่นเรียกว่า เดเมคิน (Demekin)  ซึ่งหมายถึง ปลาตาโปน มีชื่อเรียกเป็นภาษาอังกฤษด้วยกันอยู่หลายชื่อ บางครั้งก็เรียก Pop - eyes goldfish ส่วนชาวจีนนิยมเรียกว่า Dragon eyes  ซึ่งหมายถึง ปลาที่มีตาเหมือนตามังกร ลักษณะเด่นของปลาทองพันธุ์นี้คือ ตาของปลาจะยื่นโปนออกไปข้างหน้า จนดูคล้ายกับกล้องส่องทางไกลจึงมีชื่อภาษาอังกฤษว่า Telescope eyes goldfish ลักษณะที่ดีของปลาทองชนิดนี้คือ ตาจะต้องโตและตาสองข้างมีขนาดเท่าๆ กัน ปลาทองตาโปนที่นิยมเลี้ยงในบ้านเรามีหลายสายพันธุ์ ได้แก่

ปลาทองตาโปนญี่ปุ่น (Red telescope-eyes goldfish)

                ซึ่งบางคนเรียก Red metalic globe-eyes เป็นปลาทองพันธุ์ตาโปนที่มีสีแดงตลอดทั้งลำตัว ชาวญี่ปุ่นเรียกปลาพันธุ์นี้ว่า  อะคาเดเมะคิน (Akademekin) แต่ปัจจุบันสีที่นิยมเลี้ยงในบ้านเราได้แก่ ขาวแดง ขาวส้ม ส้มหรือขาวดำ

ปลาทองตาโปนห้าสี (Calico telescope-eyes goldfish)

                ญี่ปุ่นเรียกว่า ซันโชกุเดเมะคิน (Sanshokudemekin) ซึ่งแปลว่า ปลาทองตาโปนที่มีสีสามสีอยู่ในตัวเดียวกันในบ้านเรานิยมเรียกว่า ปลาห้าสีซึ่งได้แก่ ปลาที่มีสีแดง ดำ ขาว ส้มและฟ้า

ปลาทองพันธุ์เล่ห์ (Black telescope eyes goldfish หรือ Black moor)
                คนไทยบางครั้งเรียกปลาสายพันธุ์นี้ว่า ลักเล่ห์ ส่วนชาวญี่ปุ่นเรียกว่า คุโรเดเมะคิน (Kurodemekin)  เป็นปลาทองตาโปนที่มีสีดำหรือสีนาก ซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสายพันธุ์ย่อยๆ ได้อีกตามลักษณะลำตัว ลักษณะสีและลักษณะหาง เช่น เล่ห์กระโปรง เล่ห์ตุ๊กตา เล่ห์ควาย และผีเสื้อ (หลังอูฐ)

ปลาทองเกล็ดแก้ว (Pearl scale goldfish)

                ปลาทองพันธุ์เกล็ดแก้วเป็นปลาทองที่มีลักษณะแตกต่างจากปลาทองสายพันธุ์อื่นๆ คือ มีเกล็ดนูนขึ้นมาจนเห็นเป็นตุ่มและมีลำตัวอ้วนกลมประเทศไทยมีชื่อเสียงในฐานะที่สามารถเพาะพันธุ์ปลาเกล็ดแกล้วหน้าหนูได้เป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นที่รู้จักและยอมรับกันทั่วโลกว่าเป็นปลาทองที่แตกต่างจากสายพันธุ์อื่น โดยมีส่วนหัวเล็กแหลมและลำตัวอ้วนกลม ประกอบกับเกล็ดที่มีลักษณะเป็นตุ่มในลำตัวทำให้มองดู เหมือนลูกกอล์ฟที่สามารถเคลื่อนไหวได้ใต้น้ำ ปลาทองเกล็ดแก้วที่นิยมเลี้ยงในประเทศไทยมี 3 สายพันธุ์ ได้แก่ เกล็ดแก้วหน้าหนู เกล็ดแก้วหัววุ้น และเกล็ดแก้วหัวมงกุฎ

ปลาหางนกยูง



ปลาหางนกยูง


เลี้ยงปลาหางนกยูงให้สีสวย (กรมประมง)

          ปลาหางนกยูงจัดเป็นปลาสวยงามประเภทหนึ่งที่มีผู้นิยมเลี้ยงไว้ดูเล่น พันธุ์ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน มีประมาณ 5 สายพันธุ์ ได้แก่ Cobra (คอบร้า) Tuxedo (ทักซิโด้) Mosaic (โมเสค) Grass (กร๊าซ) และ Sword tall ( นกยูงหางดาบ) พันธุ์เหล่านี้ได้รับการปรับปรุงให้มีลักษณะสวยงาม แข็งแรงลำตัวใหญ่สมส่วน ไม่คดงอ มีการทรงตัวปกติ ครีบหางใหญ่ไม่หักพับขณะว่าย และที่สำคัญมีสีสันลวดลายตรงตามสายพันธุ์  สำหรับวิธีเลี้ยงปลาหางนกยูงให้มีสีสันสวยงาม เพื่อให้ได้ราคาดี มีขั้นตอนดังต่อไปนี้

 เลี้ยงปลาหางนกยูงแบบมืออาชีพ

          ปลาหางนกยูงเป็นปลาที่ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง กินสัตว์น้ำตัวเล็กเป็นอาหาร รวมทั้งลูกปลาตัวเล็กๆ ที่เกิดใหม่ด้วย เมื่อปลามีอายุประมาณ 3 เดือนก็สามารถผสมพันธุ์ได้แล้ว ดังนั้นผู้เลี้ยงจึงต้องแยกปลาเพศผู้กับเพศเมียไว้คนละบ่อ เพื่อป้องกันการผสมพันธุ์กันเอง การแยกเพศทำได้เมื่อลูกปลามีอายุประมาณ 1 เดือนขึ้นไป วิธีเลี้ยงปลาหางนกยูง มีขั้นตอน ดังนี้

           เตรียมบ่อ ที่ใช้เลี้ยงตามต้องการ ทำความสะอาด ผึ่งแดดให้แห้ง หลังจากนั้นเปิดน้ำใส่แช่ทิ้งไว้ 1 วัน ก่อนปล่อยปลาลงเลี้ยง

           น้ำที่ใช้ใส่บ่อเลี้ยงปลา ต้องเป็นน้ำสะอาด

           น้ำประปา ต้องไม่มีคลอรีนเจือปนอยู่ โดยพักน้ำทิ้งไว้ประมาณ 1 สัปดาห์
       
           น้ำบาดาล ทำเช่นเดียวกับน้ำประปา คือพักน้ำทิ้งไว้ 1 สัปดาห์ และเติมออกซิเจนตลอดเพื่อเป็นการเพิ่มปริมาณออกซิเจนในน้ำ

           ดูค่าความเป็นกรด ด่าง (pH) โดยใช้กระดาษทดสอบค่า pH จุ่มในน้ำ แล้วนำสีที่ได้มาเทียบค่า ให้มีค่าประมาณ 6.5 – 7.5 (กระดาษทดสอบหาซื้อได้ตามร้านขายอุปกรณ์เลี้ยงปลาทั่วไป)

 อาหารของปลาหางนกยูง

          สำหรับอาหาร ปลาหางนกยูง จะกินสัตว์น้ำขนาดเล็ก ซึ่งเรียกว่าอาหารสดจำพวก ลูกน้ำ ไรแดง ไรสีน้ำตาล ไรทะเล ที่มีชีวิต หรืออาหารปลาสำเร็จรูปที่มีขายตามท้องตลาด อาหารควรให้ 2 เวลา คือ ตอนเช้าและตอนเย็น ตอนเช้าควรเป็นอาหารสดที่ผ่านการฆ่าเชื้อแล้ว โดยนำไปแช่ด่างทับทิม ขั้นตอนคือนำด่างทับทิมประมาณหยิบมือ ละลายน้ำ นำไรแดง หรืออาหารสดอื่นๆ ลงแช่ทิ้งไว้ประมาณ 10-20 วินาที แล้วล้างน้ำสะอาดอีกครั้ง ตอนเย็นอาจเปลี่ยนไปให้อาหารสำเร็จรูปแทนได้ เมื่อให้อาหารปลาเสร็จแล้ว ควรดูว่าปลากินหมดหรือไม่ ให้น้อยไปหรือไม่ สังเกตได้จากปลากินหมดเร็วมาก ก็ให้เพิ่มอีก แต่หากให้อาหารเยอะไปมีเศษอาหารเหลือ ให้ตักทิ้ง อาหารสดที่กล่าวมา สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายปลาสวยงามทั่วไป หรือที่ตลาดนัดสวนจตุจักร สิ่งสำคัญ ควรให้อาหารสดจำพวกไรแดง ไรทะเล ดีกว่าให้อาหารสำเร็จรูป เพราะปลาจะได้มีสีสันที่สวยงาม